หลายๆท่านน่าจะคุ้นเคยกันดีนะครับสำหรับการใช้งาน end plate connection (โดยเฉพาะท่านที่ก่อสร้างหรือออกแบบอาคารที่ทำเป็นโกดังหรือโรงงาน)
วันนี้เลยอยากพูดถึงคอนเซปคร่าวๆของ connection ชนิดนี้หน่อยครับ
.
โดยทั่วไปแล้วรูปแบบของการต่อ End plate moment connection จะมี
1. การต่อแบบคานเข้าด้วยกัน (splice plate connection)
2. การต่อคานเข้ากับเสา (beam-to-column)
ซึ่งจะแบ่งออกแบเป็น 2 ชนิดคือ
1. Flush end-plate connection ลักษณะการใช้งาน >> จะใช้กับโครง frame ที่รับแรงทางด้านข้างน้อยๆ (light lateral loadings) หรือใช้กับบริเวณที่เป็น inflection point ของโครงที่เป็นทรงจั่ว
2. extended end-plate connection ลักษณะการใช้งาน >> จะใช้ในการทำ connection แบบ beam-to-column โดยจะมีรูปร่างหน้าตาประมาณ 3 รูปแบบครับ คือ (1.) four-bolt unstiffened, 4E (2.) four-bolt stiffened, 4ES และ (3.) eight-bolt stiffened , 8ES
.
ข้อดีของการใช้ end-plate connection
1. ข้อต่อเหมาะสำหรับการติดตั้งด้วยสลักเกลียว (The connection is suitable for winter erection in that only field bolting is required.
2. งานเชื่อมทั้งหมดจะถูกทำมาจากโรงงาน ซึ่งทำให้สามารถขจัดปัญหาหน้างานได้
3. ลดเวลาและต้นทุนในการติดตั้ง เนื่องจากไม่มีการเชื่อมที่หน้างาน
4. ถ้าการแปรรูปมีความถูกต้องแม่นยำ การรักษาความเป็นฉากของโครง frame ได้ง่าย
5. ต้นทุนสำหรับงานงานติดตั้งไม่สูงทำให้มีความสามารถในการแข่งขันมาก
ส่วนข้อเสียหลายๆข้อก็จะมาจากเรื่องของข้อจำกัดในการทำ fabrication
1. ขั้นตอนการแปรรูปค่อนข้างที่จะต้องทำอย่างละเอียดเนื่องจาก คานจะต้องได้ความยาวตามที่กำหนด และจะต้องได้ฉาก
2. การไม่ได้ฉากของเสาและความคลาดเคลื่อนของความลึกสามารถทำให้เกิดความยากลำบากในการติดตั้งได้
3. End-plate จะเกิด warping ได้ง่ายเนื่องจากความร้อนเมื่อทำการเชื่อม
4. End-plate จะเกิดรอยฉีกขาด (lamellar tearing) บริเวณรอยเชื่อมของปีกบน
5 สลักเกลียวที่รับแรงดึง สามารถส่งผลให้เกิด prying forces ได้
6. End-plate ที่มีการเสริม stiffener อาจจะยื่นขยายออกไปเลยระดับพื้น ซึ่งทำให้เสีย
พื้นที่ใช้งานของพื้นชั้นนั้นๆได้
สำหรับครั้งหน้าจะมาพูดถึงการออกแบบนะครับว่าต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง และมีกี่ขั้นตอนในการตรวจสอบ condition ต่างๆ
ขอบคุณที่ติดตามครับ
แหล่งที่มา : AirPEB-iFactory