BOQ 101 กับความสำเร็จของโครงการก่อสร้าง

BOQ

ในวงการก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นโครงการขนาดเล็กอย่างบ้านพักอาศัย หรือโครงการขนาดใหญ่ระดับตึกสูงระฟ้า หนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญและมักถูกกล่าวถึงอยู่เสมอคือ “BOQ” หรือ “Bill of Quantities” ซึ่งเป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการคำนวณราคา ประเมินต้นทุน และจัดการงบประมาณในการก่อสร้างอย่างเป็นระบบ หลาย ๆ คนอาจเคยได้ยินคำว่า BOQ แต่ยังไม่แน่ใจถึงความสำคัญ ขั้นตอนการจัดทำ และวิธีการนำไปใช้อย่างถูกต้อง

บทความนี้มีเป้าหมายที่จะอธิบายเกี่ยวกับ BOQ ตั้งแต่พื้นฐาน (101) ไปจนถึงประเด็นเชิงลึกที่ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจโครงสร้างการทำงาน ประโยชน์ และข้อควรระวังในการใช้ BOQ ในโครงการก่อสร้าง อันจะช่วยส่งเสริมให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งเจ้าของโครงการ ผู้รับเหมา วิศวกร สถาปนิก หรือแม้แต่นักลงทุน สามารถดำเนินงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใสมากยิ่งขึ้น

หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้เป็นแนวทางทั่วไป ผู้อ่านควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม หรืออ้างอิงมาตรฐานวิชาชีพและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเสมอ

1. BOQ คืออะไร?

BOQ หรือ Bill of Quantities หมายถึงเอกสารรายการประมาณราคา (Quantity) และรายละเอียดของงานก่อสร้างที่ต้องดำเนินการ โดยมีการแบ่งงานออกเป็นหมวดหมู่ต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ เพื่อให้สามารถตีราคาได้อย่างถูกต้องและโปร่งใส รวมถึงช่วยให้ผู้มีส่วนได้เสียในโครงการ เข้าใจโครงสร้างการทำงาน ต้นทุน และขอบเขตงาน (Scope of Work) ได้ชัดเจนขึ้น

ลักษณะสำคัญของ BOQ

  1. มีการระบุประเภทงาน (Item Description) และปริมาณงาน (Quantity) อย่างชัดเจน
  2. แสดงหน่วย (Unit) ที่เกี่ยวข้อง เช่น ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ตารางเมตร (ตร.ม.) กิโลกรัม (กก.) หรือหน่วยอื่น ๆ ที่ใช้ในงานก่อสร้าง
  3. ระบุราคาต่อหน่วย (Unit Price) และคำนวณออกมาเป็นราคารวม (Amount) ของงานแต่ละหมวด
  4. มีเอกสารแนบท้าย เช่น แบบรายละเอียด (Drawing) สเปควัสดุ (Specification) และข้อกำหนดในการก่อสร้าง (Conditions) เพื่อสนับสนุนข้อมูลให้ครบถ้วน

ในหลายกรณี BOQ จะถูกจัดทำโดยที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อสร้าง (เช่น Quantity Surveyor หรือ QS) ซึ่งมีความรู้และประสบการณ์ในการกำหนดปริมาณและประเมินราคางานก่อสร้าง แต่ในโครงการขนาดเล็ก เจ้าของโครงการหรือผู้รับเหมาอาจเป็นผู้จัดทำเองโดยอ้างอิงข้อมูลจากแบบและสเปควัสดุ

2. ทำไม BOQ จึงสำคัญ?

2.1 การวางแผนงบประมาณและควบคุมต้นทุน

BOQ เปรียบเสมือน “พิมพ์เขียว” ของด้านการเงินในโครงการก่อสร้าง เพราะการมีข้อมูลปริมาณและราคาต่อหน่วยที่ชัดเจน ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถคำนวณและวางแผนงบประมาณได้แม่นยำขึ้น รวมถึงสามารถควบคุมหรือตรวจสอบต้นทุนของโครงการในระหว่างการดำเนินงานได้อย่างเป็นระบบ

2.2 เครื่องมือสำหรับการประมูลงาน (Tendering)

ในหลาย ๆ โครงการ โดยเฉพาะในภาครัฐหรือเอกชนขนาดใหญ่ การจัดทำ BOQ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเปิดให้ผู้รับเหมาเสนอราคา (Bidding) อย่างโปร่งใสและเท่าเทียม เพราะใช้เกณฑ์และขอบเขตงานเดียวกันในการประเมินราคา ช่วยลดปัญหาความคลุมเครือหรือการสื่อสารไม่ตรงกันระหว่างผู้ว่าจ้างและผู้รับเหมา

2.3 สร้างความโปร่งใสและเป็นธรรม

เนื่องจาก BOQ มีรายละเอียดปริมาณงานและราคาต่อหน่วยที่ระบุไว้อย่างชัดเจน ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายสามารถตรวจสอบได้ ทำให้กระบวนการจ้างงานเป็นไปอย่างโปร่งใส ลดโอกาสที่จะเกิดการโกงหรือเอาเปรียบกัน

2.4 การติดตามความคืบหน้าและบริหารการเปลี่ยนแปลง

เมื่อโครงการก่อสร้างเดินหน้าต่อไป มักมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง (Variation) ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่ม-ลดปริมาณงานหรือปรับเปลี่ยนวัสดุ วิธีการใด ๆ BOQ จะทำหน้าที่เป็นเอกสารอ้างอิงในการปรับแก้ราคา ช่วยให้ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า “งานที่เปลี่ยนไป” ควรมีมูลค่าเพิ่มหรือลดลงเท่าใด

3. องค์ประกอบหลักของ BOQ

แม้รูปแบบ (Format) ของ BOQ จะแตกต่างกันไปตามมาตรฐานของแต่ละองค์กรหรือแต่ละประเทศ แต่โดยทั่วไปสามารถสรุปได้เป็นหมวดหมู่ใหญ่ ๆ ดังนี้

  1. หมวดงานโครงสร้าง (Structural Works)
    • งานดิน (Excavation & Earthworks)
    • งานฐานราก (Foundation)
    • งานคอนกรีตเสริมเหล็ก (Reinforced Concrete)
    • งานโครงเหล็ก (Steel Structure)
    • งานค้ำยันหรือตัวเสริมแรงอื่น ๆ
  2. หมวดงานสถาปัตยกรรม (Architectural Works)
    • งานผนัง (Walls)
    • งานพื้น (Floors)
    • งานหลังคา (Roofing)
    • งานประตู-หน้าต่าง (Doors & Windows)
    • งานสีและตกแต่ง (Painting & Finishing)
  3. หมวดงานระบบประกอบอาคาร (MEP Works: Mechanical, Electrical, and Plumbing)
    • งานระบบไฟฟ้า (Electrical)
    • งานระบบประปาและสุขาภิบาล (Plumbing & Sanitation)
    • งานระบบปรับอากาศและระบายอากาศ (HVAC)
    • งานระบบอื่น ๆ (Fire Protection, Fire Alarm, Security System เป็นต้น)
  4. หมวดงานภายนอกอาคาร (External Works/Landscaping)
    • งานถนนและทางเดิน (Road & Pavement)
    • งานสวนหรือตกแต่งภูมิทัศน์ (Landscaping)
    • รั้วและประตูรั้ว (Fence & Gate)
  5. หมวดงานทั่วไป (General Items & Preliminaries)
    • ค่าใช้จ่ายสำนักงานสนาม (Site Office)
    • ค่ารักษาความปลอดภัย (Security)
    • ค่าใช้จ่ายน้ำและไฟชั่วคราว (Temporary Utilities)
    • ค่าประกันภัยโครงการ (Insurance)

ภายในแต่ละหมวดงานจะมีการระบุรายการ (Item) อย่างละเอียด เช่น ปริมาณ (Quantity) หน่วย (Unit) ราคาต่อหน่วย (Unit Price) และราคารวม (Amount) ของแต่ละรายการ ซึ่งจะถูกสรุปออกมาเป็นราคารวมของโครงการทั้งหมดในท้าย BOQ

4. ใครเป็นผู้จัดทำ BOQ?

โดยทั่วไป ผู้จัดทำ BOQ คือ Quantity Surveyor (QS) หรือผู้ประมาณราคา ซึ่งอาจเป็นสถาปนิก วิศวกร หรือที่ปรึกษาโครงการที่มีความเชี่ยวชาญด้านการคำนวณปริมาณวัสดุและต้นทุนก่อสร้าง ในบางกรณีที่เป็นโครงการเล็ก ๆ ผู้รับเหมาอาจเป็นฝ่ายจัดทำเองตามแบบและสเปคที่ได้รับจากเจ้าของโครงการ หรือเจ้าของโครงการอาจว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญอิสระมาดำเนินการเพื่อให้ได้ BOQ ที่เป็นกลาง มีความโปร่งใส และสามารถใช้เป็นเกณฑ์กลางในการประมูลงาน

คุณสมบัติของผู้จัดทำ BOQ ที่ดี

  • มีความรู้ความเข้าใจด้านการก่อสร้าง (Construction Techniques)
  • สามารถอ่านแบบและเข้าใจรายละเอียดสถาปัตยกรรม วิศวกรรมโครงสร้าง และระบบประกอบอาคาร
  • มีประสบการณ์ในการประมาณราคา รู้จักราคาวัสดุ แรงงาน เครื่องจักร และอัตราการทำงานในตลาด
  • ใช้โปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ช่วยในการคำนวณและจัดทำรายงานได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
  • มีทักษะในการตรวจสอบหรือวิเคราะห์ความสมเหตุสมผลของข้อมูล (Data Validation)

5. ขั้นตอนการจัดทำ BOQ

5.1 การรับข้อมูลเบื้องต้น

ก่อนจะเริ่มจัดทำ BOQ จำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ให้ครบถ้วน เช่น

  1. แบบก่อสร้าง (Drawing) ทั้งแบบสถาปัตยกรรม วิศวกรรมโครงสร้าง และระบบประกอบอาคาร
  2. สเปควัสดุ (Specification) ที่กำหนดประเภทและคุณภาพของวัสดุที่ต้องใช้
  3. เงื่อนไขสัญญาหรือข้อกำหนดอื่น ๆ เช่น ระยะเวลาก่อสร้าง เงื่อนไขการรับประกัน การจ่ายเงิน ฯลฯ

5.2 การวิเคราะห์และแยกหมวดงาน

ผู้จัดทำ BOQ จะทำการอ่านแบบและแยกหมวดงานออกมาให้เป็นระบบ เช่น หมวดโครงสร้าง หมวดสถาปัตยกรรม หมวดระบบไฟฟ้า ฯลฯ และกำหนดลำดับรายการงาน (Item) ภายใต้แต่ละหมวด เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนหรือตกหล่น

5.3 การคำนวณปริมาณ (Quantity Take-off)

เป็นขั้นตอนที่ต้องใช้ความละเอียดถี่ถ้วน เพราะจะต้องคำนวณปริมาณวัสดุหรือปริมาณงานที่ต้องดำเนินการในแต่ละรายการ เช่น

  • ความยาว ความกว้าง ความสูง หรือความหนาของผนัง พื้น คาน เสา ฯลฯ
  • จำนวนบานประตู หน้าต่าง สุขภัณฑ์
  • ปริมาณท่อ วาล์ว สายไฟ ฯลฯ
    โดยอาจใช้เครื่องมือ เช่น โปรแกรมคำนวณ หรือซอฟต์แวร์เฉพาะทาง (เช่น AutoCAD, Revit, หรือโปรแกรม QS) เพื่อช่วยวัดปริมาณจากแบบ

5.4 การกำหนดราคา (Pricing)

หลังจากได้ปริมาณที่แน่นอน ผู้จัดทำ BOQ ต้องนำข้อมูลราคาวัสดุ แรงงาน เครื่องจักร และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่จำเป็น มาคำนวณออกมาเป็น “ราคาต่อหน่วย” (Unit Price) ของแต่ละรายการ จากนั้นจึงคูณกับปริมาณ (Quantity) เพื่อได้ “ราคารวม” (Amount)

5.5 การตรวจสอบและสรุปผล

เมื่อคำนวณข้อมูลครบทุกหมวดแล้ว จะต้องมีการตรวจสอบ (Check) ความสมเหตุสมผลของปริมาณและราคา เช่น

  • เปรียบเทียบกับราคาตลาด
  • เปรียบเทียบกับประสบการณ์หรือมาตรฐานที่เคยทำ
  • ตรวจสอบว่ามีการซ้ำซ้อนหรือตกหล่นในรายการงานหรือไม่
  • รวมรายการทั้งหมดเป็นยอดรวมโครงการ (Summary of Cost)

หากทุกอย่างถูกต้องและสอดคล้องกันดี ก็จะได้ BOQ ฉบับสมบูรณ์ที่สามารถใช้อ้างอิงและใช้งานในโครงการก่อสร้างต่อไป

6. วิธีการตีความและอ่าน BOQ อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับผู้ที่ได้รับมอบหมายให้อ่านหรือตรวจสอบ BOQ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของโครงการหรือผู้รับเหมา การเข้าใจโครงสร้างและวิธีการคำนวณเบื้องต้นจะช่วยให้ “สื่อสาร” กันได้ง่ายขึ้นและป้องกันข้อผิดพลาดหรือข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง

  1. ตรวจสอบหมวดงาน (Section): ดูว่ามีหมวดไหนบ้างและมีความครอบคลุมตามแบบก่อสร้างหรือไม่
  2. เช็กปริมาณ (Quantity): ตัวเลขปริมาณสอดคล้องกับแบบและสเปคหรือไม่ เช่น ความยาว คำนวณถูกต้องหรือไม่ พื้นที่ผนังที่ต้องฉาบปูนตรงกับแบบหรือไม่
  3. ราคาต่อหน่วย (Unit Price): ราคาต่อหน่วยสมเหตุสมผลกับตลาด ณ เวลานั้นหรือไม่ เกินจริงหรือต่ำเกินไปหรือเปล่า
  4. ราคารวม (Amount): จะได้จากการเอาปริมาณ (Quantity) คูณกับราคาต่อหน่วย (Unit Price) ให้ตรวจสอบว่ามีการคำนวณถูกต้องหรือไม่
  5. เงื่อนไขเพิ่มเติม (Notes / Remarks): บางรายการอาจมีโน้ตเพิ่มเติม เช่น วัสดุต้องเป็นยี่ห้อหรือระดับคุณภาพใด ต้องรวมค่าขนส่ง ค่าติดตั้ง หรือค่าทดสอบด้วยหรือไม่

เมื่อทำความเข้าใจในแต่ละส่วนได้ดี ก็จะช่วยให้สามารถจับผิดตัวเลขที่อาจผิดพลาด หรือเจรจาต่อรองในจุดที่ราคาไม่สมเหตุสมผลได้

7. ข้อควรระวังในการใช้ BOQ

แม้ว่า BOQ จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการวางแผนและควบคุมต้นทุน แต่ก็มีข้อควรระวังที่ผู้ใช้งานควรใส่ใจ:

  1. ความคลาดเคลื่อนของข้อมูล (Data Inaccuracy)
    • หากมีข้อผิดพลาดในการคำนวณปริมาณหรือระบุสเปควัสดุไม่ตรง ความคลาดเคลื่อนเหล่านั้นจะถูกส่งต่อไปยังราคา รวมถึงอาจทำให้ผู้รับเหมาหรือนักลงทุนประเมินต้นทุนผิดพลาดได้
  2. การตีความแบบและสเปคต่างกัน
    • บางโครงการอาจมีรายละเอียดเฉพาะเจาะจงในแบบหรือสเปคที่ผู้จัดทำ BOQ อาจละเลยหรือตีความไม่ตรงกัน ส่งผลให้ BOQ ที่ได้ไม่ตรงกับความเป็นจริง
  3. เปลี่ยนแปลงหน้างาน (Variation)
    • แม้ BOQ จะระบุรายละเอียดงานไว้ แต่เมื่อโครงการเดินหน้า มักมีการเปลี่ยนแปลงหน้างานอยู่เสมอ หากไม่มีการปรับแก้หรือจัดทำ Variation Order (VO) ให้ละเอียด ก็จะเกิดช่องว่างต้นทุนที่ไม่สามารถควบคุมได้
  4. อัพเดทราคาวัสดุไม่ทันตลาด
    • ราคาวัสดุและแรงงานในตลาดมีการผันผวน หาก BOQ ไม่มีการปรับปรุงข้อมูลราคาให้เป็นปัจจุบัน อาจทำให้ต้นทุนและงบประมาณที่ตั้งไว้ไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจจริง
  5. ขาดการกำกับควบคุมมาตรฐาน
    • ในโครงการใหญ่ ๆ จำเป็นต้องมีผู้ตรวจสอบหรือทีม QS ตรวจสอบข้ามกัน (Cross-check) เพื่อยืนยันความถูกต้องและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการทุจริต

8. การจัดการ Variation กับ BOQ

การเปลี่ยนแปลงงาน (Variation) ในโครงการก่อสร้างเกิดขึ้นได้บ่อยด้วยหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนวัสดุ ประเภทงาน หรือความต้องการของเจ้าของโครงการที่เปลี่ยนไป เป็นต้น กระบวนการบริหาร Variation ให้มีประสิทธิภาพ จะต้องอาศัย BOQ เป็นพื้นฐานในการคำนวณค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหรือลดลง

กระบวนการจัดการ Variation กับ BOQ

  1. แจ้งและอนุมัติล่วงหน้า: เมื่อมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงหน้างาน ผู้รับเหมาต้องเสนอ “ใบขอเปลี่ยนแปลงงาน” (Variation Order Request) ให้เจ้าของโครงการพิจารณา
  2. ประเมินค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม/ลดลง: ทีม QS หรือผู้เชี่ยวชาญจะคำนวณปริมาณงานที่เปลี่ยนไป และนำราคาต่อหน่วยจาก BOQ (หรือราคาตลาด ณ ปัจจุบัน) มาคูณเพื่อหาค่าต้นทุนที่เพิ่มหรือถูกตัดออก
  3. จัดทำเอกสาร Variation Order (VO): เอกสารนี้จะแสดงรายการงานที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงราคารวมที่ปรับเปลี่ยน หลังจากนั้นทุกฝ่ายจะลงนามเห็นชอบร่วมกัน
  4. อัปเดตต้นทุนและกำหนดเวลา: ข้อมูล VO จะถูกนำไปปรับปรุงสัญญาหรือใช้จัดทำ BOQ Revised (ฉบับแก้ไข) เพื่อคุมงบประมาณและกำหนดส่งมอบโครงการให้เป็นปัจจุบัน

9. ซอฟต์แวร์และเครื่องมือช่วยในการจัดทำ BOQ

ในปัจจุบันมีซอฟต์แวร์และเครื่องมือหลากหลายที่ช่วยให้การจัดทำ BOQ สะดวกรวดเร็วขึ้นและลดความผิดพลาด เช่น

  1. โปรแกรมการถอดปริมาณ (Quantity Take-off Software)
    • ใช้คู่กับไฟล์แบบก่อสร้าง (เช่น ในรูป PDF หรือ DWG) เพื่อวัดความยาว พื้นที่ หรือปริมาตร
    • ตัวอย่างโปรแกรม: Bluebeam Revu, Planswift, Cubit ฯลฯ
  2. โปรแกรมออกแบบ 3 มิติ (BIM – Building Information Modeling)
    • ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถดึงข้อมูลปริมาณ (Quantity) ของวัสดุหรือส่วนต่าง ๆ ของอาคารจากโมเดล 3 มิติได้ทันที
    • ตัวอย่างซอฟต์แวร์: Autodesk Revit, ArchiCAD, Tekla Structures
  3. ตารางคำนวณ (Spreadsheet) เช่น Microsoft Excel
    • ใช้ในการบันทึกตัวเลข ราคา และสูตรคำนวณต่าง ๆ อย่างอิสระ และสามารถปรับแก้ได้ง่าย
  4. โปรแกรม QS เฉพาะทาง
    • เช่น CostX, Candy, WinQS ที่ออกแบบมาเพื่อการทำ BOQ และบริหารต้นทุนโครงการก่อสร้างโดยเฉพาะ

การเลือกใช้เครื่องมือใดขึ้นอยู่กับขนาดของโครงการ งบประมาณ ความเชี่ยวชาญของบุคลากร และความต้องการของแต่ละองค์กร

10. สรุปข้อดี-ข้อเสียของการทำ BOQ

ข้อดี

  • ช่วยให้การวางแผนงบประมาณในโครงการก่อสร้างแม่นยำและโปร่งใส
  • เป็นเอกสารกลางสำหรับการประมูล (Tender) ช่วยให้ผู้เสนอราคาเปรียบเทียบกันได้ง่าย
  • ควบคุมการเปลี่ยนแปลงงาน (Variation) ในระหว่างโครงการได้มีประสิทธิภาพ
  • ลดข้อพิพาทและความเข้าใจผิดระหว่างผู้ว่าจ้างและผู้รับเหมา

ข้อเสีย/ข้อจำกัด

  • ใช้เวลาจัดทำและต้องการความละเอียดสูง หากข้อมูลแบบหรือสเปคไม่สมบูรณ์ ก็อาจทำให้ BOQ ไม่สมบูรณ์ด้วย
  • ราคาวัสดุและค่าแรงผันผวนตามตลาด หากไม่มีการอัปเดตอาจทำให้งบประมาณคลาดเคลื่อน
  • หากผู้จัดทำ BOQ ไม่มีประสบการณ์หรือไม่รอบคอบ อาจเกิดความผิดพลาดหรือประเมินมูลค่าผิด
  • ยังจำเป็นต้องใช้ “การบริหารโครงการ” (Project Management) ควบคู่กัน เพราะ BOQ ไม่ได้ควบคุมปัจจัยอื่น ๆ เช่น เวลาหรือคุณภาพงาน

11. เคล็ดลับสำหรับผู้ใช้งาน BOQ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

  1. ตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบด้าน
    • ไม่ควรใช้ข้อมูลจากแบบด้านเดียว ควรดูแบบแปลน (Plan), รูปตัด (Section), รูปด้าน (Elevation) และแบบรายละเอียด (Detail) ควบคู่กัน
  2. เช็กข้อมูลราคาวัสดุและค่าแรง
    • ติดตามราคาตลาดและอัตราเงินเฟ้ออย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ราคาต่อหน่วยใน BOQ เป็นปัจจุบัน
  3. ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับวิศวกร สถาปนิก และผู้รับเหมา
    • หากเกิดข้อสงสัยในการตีความแบบหรือสเปคควรหารือร่วมกัน เพื่อป้องกันการถอดปริมาณผิด
  4. ใช้ซอฟต์แวร์อย่างเหมาะสม
    • ถ้าโครงการใหญ่มีงบประมาณ ควรพิจารณาใช้ซอฟต์แวร์ BIM หรือ QS เพื่ออัตโนมัติและลดความผิดพลาด
  5. เตรียมพร้อมรับมือ Variation
    • ตั้งงบเผื่อการเปลี่ยนแปลง (Contingency) และมีระบบในการขออนุมัติ VO ให้เป็นทางการ
  6. เก็บประวัติและสถิติ
    • หากได้ทำ BOQ หลายโครงการ ควรเก็บข้อมูลเปรียบเทียบและปรับปรุงสูตรคำนวณหรือสมมติฐานให้แม่นยำยิ่งขึ้นในอนาคต

12. บทสรุป: BOQ กับความสำเร็จของโครงการก่อสร้าง

“BOQ” หรือ “Bill of Quantities” เป็นมากกว่ากระดาษที่มีตารางตัวเลข หากมองให้ลึกลงไปจะพบว่าเป็นเครื่องมือบริหารต้นทุนที่ช่วยยกระดับมาตรฐานงานก่อสร้างได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมงบประมาณ การเจรจาต่อรองและประมูลโครงการ การติดตามความคืบหน้า การจัดการเปลี่ยนแปลง หรือการป้องกันข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง

ในโครงการขนาดเล็ก การทำ BOQ อย่างเรียบง่ายอาจเพียงพอต่อการใช้งาน แต่อาจไม่ละเอียดเท่าโครงการใหญ่ อย่างไรก็ตาม “คุณภาพ” ของ BOQ ย่อมเกิดขึ้นจากความรู้ ความเข้าใจ และความละเอียดรอบคอบของผู้จัดทำและผู้ตรวจสอบเป็นสำคัญ ดังนั้น การมีผู้เชี่ยวชาญ เช่น วิศวกรประมาณราคา (QS) ที่มีประสบการณ์และใช้โปรแกรมช่วยเหลือที่เหมาะสม จะยิ่งทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีความน่าเชื่อถือสูง

ท้ายที่สุดแล้ว หากทุกฝ่ายในโครงการก่อสร้าง—ตั้งแต่เจ้าของโครงการ ผู้รับเหมา ที่ปรึกษาโครงการ และวิศวกร—เข้าใจและใช้งาน BOQ อย่างถูกต้อง การทำงานร่วมกันก็จะมีความโปร่งใส ชัดเจน และราบรื่นขึ้น ลดความเสี่ยงในการเผชิญปัญหาด้านงบประมาณหรือข้อพิพาทในอนาคต และเพิ่มโอกาสให้โครงการประสบความสำเร็จได้ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้

ตัวอย่าง BOQ อย่างง่าย:

ลำดับที่รายละเอียดงานหน่วยปริมาณราคาต่อหน่วย (บาท)ราคารวม (บาท)หมายเหตุ
1งานขุดดินลบ.ม.1050500
2งานคอนกรีตโครงสร้างลบ.ม.52,00010,000
3งานติดตั้งประตูไม้ชุด25,00010,000
4งานทาสีผนังภายในตร.ม.10010010,000
รวม30,500

ข้อมูลอ้างอิงและแหล่งที่มาเพิ่มเติม

  • สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.) — มาตรฐานการประมาณราคา
  • หนังสือและตำราเรียนเกี่ยวกับ Quantity Surveying และ Construction Cost Estimation เช่น “Willis’s Practice and Procedure for the Quantity Surveyor”
  • เอกสารเผยแพร่จากสถาบันการศึกษา และรายงานวิจัยด้านการบริหารต้นทุนก่อสร้าง
  • เว็บไซต์ของซอฟต์แวร์ QS หรือ BIM ที่ให้บริการเครื่องมือสำหรับการถอดปริมาณและคำนวณต้นทุน

หมายเหตุ: การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางและการตรวจสอบตามกฎหมาย กฎกระทรวง หรือนโยบายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังเป็นสิ่งจำเป็นในทุกกรณี เนื่องจากแต่ละโครงการก่อสร้างอาจมีความซับซ้อนและข้อกำหนดเฉพาะของตนเอง

สนใจสอบถามบริการสร้างโรงงาน สร้างโกดังเพิ่มเติม ติดต่อ Steelframebuilt ได้เลย!

#Steelframebuilt #สร้างโรงงาน #สร้างโกดัง #โรงงาน #โกดัง #รับสร้างโรงงาน #รับสร้างโกดัง #บริษัทรับสร้างโรงงาน

ช่องทางการติดต่อ